วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เทคนิคการใช้เหยื่อยางตอนที่ 2 รูปแบบการตกด้วยเหยื่อยางที่ได้รับความนิยม


 บทความตอนนี้ ผมจะขอกล่าวถึงรูปแบบการใช้งานแบบทั่วไป และเป็นที่นิยมของนักตกปลาทั่วโลก ที่กล่าวอย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่า ผมได้เดินทางไปตกปลามาทั่วโลกแล้วหรืออย่างใด จึงได้แจ้งอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ปกติรูปแบบการใช้งานเหยื่อยาง ทั่ว ๆ ไป สามารถปรับเปลี่ยน ได้ตามสถานการณ์และซึ่งขึ้นอยู่กับการติดสินใจของ นักตกปลาจะเห็นสมควรว่าควรใช้รูปแบบ การประกอบเหยื่ออย่างไร เพื่อหลอกให้เจ้าตัวใต้น้ำ หลงกล ไปกับเหยื่อยางนุ่ม ๆ

ผมขอเล่าถึง รูปแบบการใช้งาน ที่นักตกปลาเกือบทุกท่านรู้จักดี นั่นคือ การประกอบชุดสายหน้าแบบ Carolina rig (แคโรไลน่า ริ๊ก) และอีกแบบคือ Texas rig (เท็กซัสริ๊ก) ที่ต้องวงเล็บคำอ่านไว้ ไม่ได้เจตนาดูถูกผู้อ่านแต่อย่างใด ผมห่วงว่าหากมีเด็ก ๆ ที่ยังอ่านภาษาอังกฤษไม่ได้ จะงง กับคำอ่าน และไม่สามารถจดจำ คำ ๆ นี้ได้นั่นเอง (อันนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวครับ สมัยเด็กผมสะกดไม่ได้เลย ไม่ชอบมาก ๆ สมัยเด็กอ่านการ์ตูนแล้วอ่านไม่ออก)
มาเข้าเรื่องกันต่อดีกว่าครับผม     


   เริ่มด้วยแบบแรก Carolina Rig   แคโรไลน่า ริ๊ก
ชื่อนี้ผมว่าทุกท่านน่าจะคุ้นหูกันดี คำว่า ริ๊ก แปลว่า เล่ห์ หรือ อุบาย การประกอบก็ตามรูปครับ ตามตำราแต่ดั้งเดิม บอกว่าให้ใช้ ตะกั่วรูปทรงลูกปืนนะครับ ในภาพผมใส่ตะกั่วกลม ๆ เพื่อให้เห็นว่าก็สามารถใช้งานได้เช่นเดียวกัน เน้นก็ตรงที่ขนาดให้เล็กไว้ก่อน เพื่อเมื่อปลากินเหยื่อ จะได้ไม่มีแรงกดของตะกั่ว ทำให้ปลาระแวงคายเหยื่อ หรือขนาดทำให้นักตกปลา จับความรุ้สึกได้ช้ากว่าปกติ สายลีดที่ใช้ ควรใช้สายเล็ก ๆ และควรเป็นสีที่ไม่สะดุดตาไปกว่าเหยื่อยางของเรา อาจเป็นใสธรรมดา หรื่อหากปลามีฟัน และครีบที่คม ใช้สายถัก หรือ สายลวดหุ้มพลาสติกเล็ก ๆ ก็ไม่ผิดแต่อย่างใด  




มีข้อสังเกต อย่างหนึ่งคือ ตัวเบ็ดที่นิยมใช้กับเหยื่อยางนี้ มีก้านยาวพอสมควร หากปลาไม่กลืนเหยื่อ ก็คงไม่ทำอันตรายกับสายเราได้ ทั้งนี้ขึ้นกับสภาพการณ์แต่ละครั้งของการตกปลาครับ จากตัวเบ็ด สายลีดเดอร์นิยมใช้ยาวอยู่ประมาณ 8-10 นิ้ว หรือยาวมากกว่า ผูกเข้ากับลูกหมุน ตามด้วย ลูกปัดเล็ก ๆ ไม่ควรใช้สีสะดุดตา ต่อด้วยตะกั่วทรงลูกปืน (หรืออย่างที่ผมถ่ายภาพไว้ก็ได้ครับ) 

**หมายเหตุ ลูกปัดใส่สำหรับ กัน ตะกั่ว ซึ่งมีเนื่ออ่อน กดทับลูกหมุน จนเป็นรอยบาก ซึ่งอาจทำอันตรายกับสายเบ็ดได้ ( จากในภาพ ทั้งลีดเดอร์และลูกปัด ผมเลือกสีที่ทำให้ภาพมองได้ชัดเจนนะครับ ) เมื่อเราจะหลอกให้ปลากินเหยื่อยางของเรา การใช้งานแบบ Carolina Rig นี้ เหมาะกับการตกปลาโดยมีข้อสังเกตดังนี้ 

1. มักใช้งานกับสภาพพื้นน้ำ ที่มีดินตะกอนทับถมอยู่มาก หรือขั้นเป็นดินเลน การประกอบเหยื่อแบบนี้ มักนิยมใช้ร่วมกับเหยื่อ แบบลอย มากกว่าแบบ เหยื่อจมนะครับ หากผู้ผลิตไม่แจ้ง ก่อนใช้งาน เราควรทดสอบด้วยการทิ้งลงน้ำดูก่อน ว่าเหยื่อยางที่เรามีอยู่นั้น ลอยน้ำหรือจมน้ำ ข้อนี้ เป็นตัวเลือกสำคัญ ในการใช้งานให้เหมาะกับพื้นที่ และ ชนิดปลาหรือระยะที่ปลาแต่ละชนิดเฝ้ารอเหยื่ออยู่ 

2. เหมาะกับแหล่งสภาพน้ำไหล เช่นลำธาร หรือแม่น้ำ คลองส่งน้ำ สายลีดเดอร์ที่ยาวนี้จะช่วยให้เหยื่อพลิ้วไหว อย่างนุ่มนวล ไม่สั่นระริก จนปลางับไม่ทัน หรือเหยื่อโดนแรงน้ำ พัดจนส่ายเสียปลาตกใจ แทนที่จะเข้าชาร์ตเหยื่อ เรื่องนี้ นักตกปลาทะเลส่วนใหญ่ เข้าใจเรื่องสายหน้า ยาว ๆ นี้ดีครับ 

3. มักดูช่วงเวลา และชนิดปลาล่าเหยื่อเป็นหลัก เมื่อเราประกอบเข้ากับเหยื่อแบบจม เหยื่อจะคืบคลาน บนผิวดินใต้น้ำ หากใช้เหยื่อลอย เหยื่อจะถูกยกขึ้นจากพื้นน้ำ ปลาที่ไม่ได้นอนรอเหยื่ออยู่พื้นน้ำจะสามารถเห็นเหยื่อได้ง่ายขึ้น 
เรื่องการสร้างแอ็คชั่น ผมขอสรุปไว้ท้ายเรื่องนะครับ


แบบที่สอง การประกอบเหยื่อแบบ Texas Rig  
การประกอบแบบนี้ ดูได้ที่ภาพครับ จะเห็นว่า ตะกั่ว จะอยู่ติดกับตัวเบ็ด อาจรองลูกปัดเล็ก ๆ กันกระแทก ด้วยสีสะดุดตา ก็ได้ครับ
การประกอบชุดสายหน้า แบบ เท็กซัส ริ๊ก นี้ นิยมใช้กับทั้งเหยื่อจม และเหยื่อลอย หากแต่เหยื่อลอย จะเป็นทางเลือกที่นิยมกว่า เพราะขณะสร้างแอ็คชั่น เราสามารถหย่อนสาย ให้ตัวเหยื่อลอยขั้นกว่าปกติ แล้วเพียงกระตุกเบา ๆ ก็สามารถสร้างแอ็คชั่นไห้ตัวเหยื่อได้อีกแบบ ปกติเมื่อประกอบเข้ากับเหยื่อลอย ตัวเหยื่อจะทำมุมตั้งขั้น ประมาณ 70-80 องศา (ในขณะเรากรอสายกลับมาช้า ๆ ) ทำให้ปลาที่กบดาน หรือเฝ้ารอเหยื่ออยู่ที่หน้าพื้นดิน เข้าชาร์ตเหยื่อแบบหวังผลได้ค่อนข้างสูง 

การตกแบบนี้ ผมขอเล่าเกี่ยกับปลาช่อน ที่ผมเคยตกสักนิดครับ ปกติช่วงเวลากลางวัน ปลาช่อนมานอนกบดานนิ่ง ๆ อยู่ตามริมตลิ่ง มากกว่าว่ายไปตามหาเหยื่อ นอกเสียจากเป็นช่วงเวลาที่ปลาออกล่าเหยื่อ มันจะว่ายไปเรื่อย ๆ ผมจึงมักประกอบเหยื่อแบบนี้ ตกปลาช่อนในเวลากลางวันมากกว่า


การใช้งานในแบบที่สาม คือแบบการใช้เบ็ดหัวจิ๊ก ประกอบเข้ากับ ตัวเหยื่อโดยตรง
แบบนี้ นับเป็นทางเลือกที่สะดวกเช่นกัน หากปลาที่ตกไม่ระแวงกับหัวจิ๊ก ที่ออกจะหนักสักนิด (นิดเดียวจริงๆ ) ก็คงไม่พลาดได้ปลามาเชยชมแน่นอน ซึ่งโดยส่วนตัวผมเองใช้แบบนี้ บ่อย ๆ จากภาพ เจ้าตัวใส ทางซ้ายมือ เป็นเบ็ดติดหัวจิ๊ก แบบหลบอุปสรรคใต้น้ำได้   


  การใช้งานแบบที่สี่ คือการใช้ตัวเบ็ดแบบฝังเข้าตัวเหยื่อ แล้วโผล่คมออกมาด้านนอก
อย่าง สีน้ำเงินทางขวามือ การประกอบเหยื่อแบบนี้ เหมาะกับพื้นน้ำเปิด หรือไม่มีอุปสรรคใต้น้ำนะครับ ใช้กันมาก ๆ ก็การจิ๊กเหยื่อจากที่สูง หรือบนเรือครับ ข้อควรระวัง ก็คือการประกอบควรให้ คมเบ็ดโผล่ออกมาด้านหางไม่งอเข้า นะครับ หากเราหันคมเบ็ด เข้าไว้ทางด้านหางงอ เมื่อหย่อน หรือตีเหยื่อ หางจะงอจนฝังเข้ากับคมเบ็ดได้ ทำไห้เหยื่อเสียแอ็คชั่นได้ แต่หากนักตกปลาใช้เหยื่อ กรับหางงอนี้แบบลากผ่านผิวหน้าดิน และไม่ได้เหวี่ยงเบ็ดแบบด้วยแรงที่มากนักการเกี่ยวแบบคมเบ็ดโผล่ทางด้านหางงอก็นิยมทำกันมานานครับ นัยย์ว่าเมื่อเบ็ดลากที่ผิวหน้าดิน หางงอจะหงาย และต้านน้ำ ทำให้ออกแอ็คชั่นได้ดีกว่า แต่สำที่ผมใช้ตกปลาบ่อย ๆ มักเกี่ยวคมโผล่ออกอย่างที่กล่าวไว้ตอนแรกครับปลากัดเหมือนกันลองปรับใช้ดูนะครับ   



    
แบบที่ห้า คือการใช้เบ็ดก้านสั้น  
จากในภาพมีแขนกันสวะ หรือป้องกันตัวเบ็ดเกี่ยวกับกับ อุปสรรคใต้น้ำ การประกอบเหยื่อแบบนี้ มักหวังผลกับ ปลาที่อยู่ตาม ตอ หรือ กองหินกลางน้ำ นักตกปลาส่วนมาก ที่ผมรู้จัก และตัวผมเอง นิยมตีเหยื่อ ที่ประกอบแบบนี้ เข้าหาตอไม้กลางน้ำเลยครับ ตัวเหยื่อจะตกลงน้ำ แบบจมลงช้ากว่า ปกติ (หมายถึงเจ้าตัวยาวด้านบนครับ) อาจมีเจ้าตัวใต้น้ำที่เฝ้าตออยู่ เข้าชาร์ตได้ทันที การประกอบแบบนี้ เป็นแบบหนึ่งของการใช้เหยื่อบิน ครับ 
การสร้าแอ็คชั่น ใต้ผิวน้ำก็สามารถทำได้ปกตินะครับ นิยม กระตุกให้ตัวเหยื่อ ลอยขึ้น แล้วพักมากกว่าการหรอสายกลับธรรมดา หรือจะประกอบเข้า   


 รูปแบบการใช้งานคร่าว ๆ อย่างที่หลายท่านเคยได้ทราบและเคยสัมผัสมา คงครอบคลุมไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน ส่วนการประกอบ แบบพิเศษ และรูปแบบการใช้งานที่ต่างออกไป เช่นการตีเหยื่อบริเวณอุปสรรคมีอยู่มาก เช่น จอก แหน กอบัว ผมจะเขียนให้เป็นพิเศษไว้ในอีกบทความหนึ่งครับ หลายท่านอาจไม่ทราบ หลายท่านอาจไม่เคยเห็น ผมเผยให้หมดครับ ไม่มีปิดเลย อยากให้เพื่อน ๆ ทุกท่านมีความสุขกับการตกปลานะครับ
มาเข้าบทสรุปกันดีกว่าเกี่ยวกับการสร้างแอ็คชั่น ในแบบที่ผมใช้ปกติ ใครสนใจลองปรับใช้กับการตกปลาของท่านเอง ผมก็ยินดีครับ

ปกติผมจะไม่กระตุกเหยื่อเท่าใดนัก กับการการประกอบชุดปลายสายแบบที่กล่าวมายกเว้นรู้สึกได้ว่า เหยื่อจมดินเลนใต้น้ำ หรือปลาไม่สนเหยื่อจริง ๆ แล้วเท่านั้น หัวใจของการใช้เหยื่อยาง คือการเคลื่อนที่ช้า ครับ เมื่อตีเหยื่อผมจะมองข้างตลิ่งก่อนเลย ไม่ก็ตอไม้ ที่โพล่ขึ้นเหนือน้ำ ถ้าอยู่บนเรือ ก็มักตีเหยื่อตกริมตลิ่ง ไม่ก็บนหินแล้วค่อยให้เหยื่อหล่นลงน้ำเบา ๆ จากนั้น เมื่อเหยื่อถึงพื้นน้ำ การกรอสายเข้า อย่างช้า ๆ (ช้าที่สุดเท่าที่จะช้าได้ ) เป็นหัวใจของการใช้หนอนยาง เพราะในธรรมชาติ ไม่มีหนอน หรือใส้เดือนตัวใด กระโดดได้ใต้น้ำนะครับ ยกเว้นเหยื่อยางจะรูปร่าง คล้ายปลา หรือที่นิยมใช้แบบกระตุก มาก ๆ ก็เป็นพวกรูปร่างที่มีแพนหางแบนและใหญ่ครับ ข้อมูลนี้ ผมได้จากการใช้งานส่วนตัว รวมถึงคนที่ผมรู้จัก ปลาช่อนเองก็เช่นกัน ผมเคยตกแบบ อยู่บนบ้านพักพิมน้ำ น้ำก็ใสมีปลาช่อนขยับครีบเบา ๆ อยู่กับที่ใต้แพ ผมหย่อนเจ้าหนอนยางหางงอลงไป กระตุกผ่านหน้าปลา ตั้งหลายที ไม่ยอมเข้าชาร์ตครับ จนค่อย ๆ ลาก ผ่านหน้า ช้า ๆ ปลาเข้างับทันที เรื่องระยะ การขยอก หรือกลืนเหยื่อของปลาช่อน มีอยู่บ้าง สังเกตจากการใช้จิ่งจกยางอดีต รวมถึงหลายท่าน ก็มักจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าให้รอนับเลขในใจสักนิด ค่อยวัดเหยื่อ    


สำหรับผม การให้หนอนคลานช้า ๆ ใต้น้ำนี้ ยืนยันว่าได้ปลามาหลายตัวแล้วครับ ตั้งแต่ช่อน ปลาเก๋า ปลาแบส ซึ่งมาตกที่ญี่ปุ่น ก็ใช้เทคนิคเดียวกัน ทั้งนี้หากปฏิบัติแล้วยังนิ่งทั้งที่แน่ใจว่ามีตัวปลา ก็ให้กระตุกดีกว่าครับ (อิ ๆ ก็ไม่กินแล้วนี่เนอะ) มาดูกันว่าเขากระตุกกันอย่างไร
ในตอนท้ายนี้ ขอเสริมรูปแบบประยุกต์การใช้หนอนยาง สักนิด คือการประกอบแบบ Finesse rig (ฟินเนส ริ๊ก) หรือนิยมเรียกอีกอย่าง ตามลักษณะการประกอบว่า Split shot rig (สปริท ชอร์ท ริ๊ก) การประกอบใช้เหยื่อรูปแบบนี้ ไม่ยากครับ ส่วนมาก นิยมตะกั่วบีบขนาดเล็ก ๆ น้ำหนักเพียงสัก 2-4 กรัม บีบไว้ที่สายเหนือตัวตัวเบ็ดราว ๆ 8-10 นิ้วครับ 


   

การใช้เหยื่อรูปแบบนี้ เหมาะกับเหยื่อยางทั้งแบบจมและลอยครับ แบบลอยจะทำให้ตัวเหยื่อตกถึงพื้นช้ากว่า ตอนเรากระตุกให้เหยื่อกระโดดครับ การกระตุกให้กระโดดนี้ สองแบบแรกที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ก็นิยมใช้กันนะครับ แต่แบบ Finesse rig นี้ผมค่อนข้างนิยมใช้ร่วมกับแอ็คชั่นกระโดดมากกว่าครับ
การปฏิบัติ เมื่อเราตีเหยื่อเข้าสู่เป้าหมาย รอให้เหยื่อจมถึงพื้นน้ำครับ ตะกั่วเม็ดเล็ก จะค่อย ๆ พาเหยื่อยางถึงพื้นน้ำ หากตัวเหยื่อ พริ้วไหวผ่านหน้าปลาล่าเหยื่อ มันอาจเข้าชาร์ททันที จากพื้นน้ำ ให้เรากระตุกเหยื่อเพียง 1 ครั้ง คันทำมุม สัก 60-80 องศาขณะ รอให้เหยื่อตกถึงพื้นนำอีกครั้ง (เมื่อปลาชาร์ทเราจะรู้สึกได้ไวกว่ามากครับ) อาจกระตุกครั้งที่สอง โดยยังไม่กรอสายครับ กรณีที่เหยื่อเคลื่อนที่กลับมาไม่มากนัก
การเคลื่อนที่ของเหยื่อ จะกระโดดขั้น ตามตะกั่วเม็ดเล็ก แล้ว ดิ่งพริ้วสู่พื้นตามตะกั่วเม็ดเล็กเช่นกัน (ให้นึกถึงคนโดดร่มครับ ) ปลาที่ไม่ได้นอนนิ่งอยู่ผิวน้ำ เมื่อเห็นเหยื่อเรากระโดด จะให้ความสนใจ และกว่าครึ่งจะชาร์ตเหยื่อขณะเหยื่อพริ้วจมลงครับ

ส่วนการใช้งานและการสร้างแอ็คชั่นในแบบอื่น ๆ ผมจะนำเสนอในบทต่อ ๆ ไปนะครับ เรียกว่าใครไม่เคยใช้เหยื่อยาง ได้ทราบในสิ่งที่ผมลองผิด ลองถูกมานาน ทั้งจากสอบถาม เรียนรู้จากนักตกปลาท่านอื่น ๆ ให้ได้เป็นพื้นฐานลองนำไปปฏิบัติกันได้ภายในวันเดียวเลยครับ

การตีเหยื่อควรตีแบบกางองศา หรือกางวงออกแบบพัดจีนนะครับ เช่นผมนักตกปลายืนหันหน้าออกสู่ผืนน้ำ ตลิ่งซ่ายมือ หรือขวามือ คือจุดแรกเริ่มจากนั้น ตีกวาดไปทีละนิด ๆ เมื่อครบวงปลาไม่ชาร์ต ให้เปลี่ยนเหยื่อครับ แบบนี้ เราหวังผลได้กับปลาริมตลิ่งมากกว่า หากตกในพื้นน้ำโล่ง อย่างตามฟิชชิ่งปาร์ค อาจตีเหยื่อ ออกไปตรง ๆ ดีกว่าถูกคนข้าง ๆ ....... เอาครับ (มีเซนเซอร์)


credit : http://www.fishing4you.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น